ที่มาสุดซึ้ง “ค่าน้ำนม” เพลงวันแม่ตลอดกาล แต่งโดยลูกชายที่ป่วยโรคร้าย

“แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง…” ประโยคเปิดที่คุ้นหูของเพลงอมตะอย่าง “ค่าน้ำนม” ซึ่งเป็นบทเพลงที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยมาหลายทศวรรษ ทุกถ้อยคำและทำนองล้วนสะท้อนความรัก ความเสียสละ และพระคุณของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง ฟังแล้วชวนให้หลายคนอดน้ำตาซึมไม่ได้

เพลงนี้ประพันธ์โดย ครูไพบูลย์ บุตรขัน นักแต่งเพลงผู้มากความสามารถที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอดชีวิต เพลงถูกขับร้องและบันทึกเสียงครั้งแรกโดย ชาญ เย็นแข ในปี พ.ศ. 2492 นับเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้ทั้งผู้แต่งและผู้ร้องอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นเพลงประจำวันแม่โดยปริยาย

ความหมายและแรงบันดาลใจ

เบื้องหลังความซาบซึ้งของบทเพลงนั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้เนื้อหา เพราะครูไพบูลย์แต่งขึ้นเพื่อมอบแด่มารดา นางพร้อม ประณีต ผู้ที่ดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิด แม้เขาจะป่วยด้วยโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคที่ถูกตีตราและถูกสังคมรังเกียจ แต่ผู้เป็นแม่ไม่เคยทอดทิ้ง กลับคอยห่วงใยและอยู่เคียงข้างเสมอ

“ค่าน้ำนม” จึงเป็นหนึ่งในผลงานหลายเพลงที่ครูไพบูลย์เขียนขึ้นเพื่อยกย่องความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข และสะท้อนถึงความกตัญญูของลูกชายที่ไม่เคยลืมพระคุณ

การบันทึกเสียงครั้งแรก

เดิมทีครูไพบูลย์ตั้งใจให้ บุญช่วย หิรัญสุนทร เป็นผู้ขับร้องเพลงนี้กับวงดนตรีศิวารมย์ของครูสง่า อารัมภีร แต่ด้วยเหตุที่บุญช่วยล้มป่วย จึงได้เปลี่ยนเป็น ชาญ เย็นแข ลูกศิษย์ของครูสง่าแทน

การบันทึกเสียงเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย ครูสง่าเป็นผู้เล่นเปียโนเอง และใช้เวลาเพียงไม่กี่รอบก็ได้แผ่นเสียงสมบูรณ์ โดยมี ประกิจ วาทยกร (บุตรชายพระเจนดุริยางค์) ร่วมเรียบเรียงเสียงประสาน เพลงนี้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2492 และได้รับความนิยมล้นหลามทันที

ชีวประวัติครูไพบูลย์ บุตรขัน

ครูไพบูลย์ เดิมชื่อ ไพบูลย์ ประณีต เกิดที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ครอบครัวฐานะยากจน บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียง 6 ขวบ ต่อมาอาได้นำมาเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ และเปลี่ยนนามสกุลเป็น “บุตรขัน”

เขาเริ่มเรียนดนตรีจาก ครูพิณ โปร่งแก้วงาม และศึกษาต่อด้านโน้ตสากลที่สมาคม YMCA ทำให้มีความสามารถแต่งเพลงอย่างเป็นระบบ จุดเริ่มต้นอาชีพของเขาคือการเป็นครูสอนภาษาไทย ต่อด้วยงานช่างไฟฟ้า ก่อนจะเข้าสู่วงการบันเทิงโดยทำหน้าที่เขียนบทละครวิทยุและแต่งเพลงให้คณะละครต่างๆ

ผลงานเพลงและรางวัล

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ครูไพบูลย์เริ่มบันทึกแผ่นเสียงจริงจัง เพลงยุคแรก เช่น “มนต์เมืองเหนือ” “คนจนคนจร” “ดอกไม้หน้าพระ” “ดอกไม้หน้าฝน” และ “ค่าน้ำนม” ต่างได้รับความนิยมสูง

ต่อมาเขาสร้างผลงานที่เป็นรากฐานของวงการเพลงลูกทุ่ง เช่น “กลิ่นโคลนสาปควาย” (2496) ซึ่งแม้จะถูกห้ามเปิดในช่วงปราบคอมมิวนิสต์ แต่กลับยิ่งได้รับความนิยม และถือเป็นเพลงบุกเบิกแนวลูกทุ่งอย่างแท้จริง

หลังการเสียชีวิต ผลงานของครูไพบูลย์ยังคงได้รับการยกย่อง ปี พ.ศ. 2532 เพลงของเขาถึง 10 เพลง ได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกไทย อาทิ “ชายสามโบสถ์” “น้ำตาเทียน” “บ้านไร่นารัก” “ฝนเดือนหก” “มนต์รักแม่กลอง” “มนต์รักลูกทุ่ง” และ “ยมบาลเจ้าขา” ซึ่งล้วนกลายเป็นตำนาน

ชีวิตส่วนตัวและอาการป่วย

แม้จะมีพรสวรรค์ แต่ชีวิตครูไพบูลย์เต็มไปด้วยความเจ็บป่วย เขาป่วยด้วยโรคเรื้อนตั้งแต่วัยหนุ่ม ต้องปลีกตัวจากสังคม และอาศัยการดูแลจากมารดาเป็นหลัก แม้ในภายหลังจะได้รับการรักษาจนหาย แต่ร่างกายยังคงมีความพิการ อีกทั้งยังเผชิญโรคร้ายซ้ำหลายครั้ง

ครูไพบูลย์สมรสกับ ดวงเดือน บุตรขัน นักแต่งเพลงเช่นกัน ทั้งคู่แต่งงานในปี พ.ศ. 2511 แต่เพียงไม่กี่ปีต่อมา ครูไพบูลย์ก็ล้มป่วยด้วยโรคลำไส้และเสียชีวิตในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2515 สิริอายุ 56 ปี มีพิธีพระราชทานเพลิงศพในปีถัดมา

บทสรุป

เรื่องราวของ “ค่าน้ำนม” ไม่เพียงสะท้อนพระคุณแม่ที่ยิ่งใหญ่ หากยังสะท้อนหัวใจของลูกชายที่แม้ต้องเผชิญโรคร้ายและความทุกข์ยาก แต่ก็ยังคงใช้พรสวรรค์ทางดนตรีบันทึกความรัก ความกตัญญู และความอบอุ่นในครอบครัวออกมาเป็นบทเพลงที่ไม่เคยเลือนหาย

เพลงนี้จึงไม่ใช่เพียงบทเพลงวันแม่ แต่ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทำให้คนไทยทุกยุคทุกสมัยได้ระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของแม่ และยกย่องหัวใจของลูกผู้ไม่เคยลืมบุญคุณผู้ให้กำเนิด